มีการคาดการณ์ว่าระบบอัตโนมัติและการปรับใช้ AI/ML จะเพิ่มขึ้น รวมถึงความยืดหยุ่นและต้นทุนด้านซัพพลายเชน นวัตกรรมด้านอาหาร และความต้องการจากผู้บริโภคด้านความโปร่งใสและความยั่งยืน
โดย Marcel Koks ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์อุตสาหกรรมและโซลูชันของ Infor และ Mikael Bengtsson ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การปล่อยสินค้าสู่ตลาดของ Infor
ในขณะที่เราก้าวเข้าสู่ปี 2023 อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มจะสำรวจช่องทางใหม่ๆ สำหรับผลิตภัณฑ์ การจัดหา และเทคโนโลยี เพื่อให้มีความพร้อมรับมือกับสิ่งที่ไม่คาดคิดมากขึ้น อุตสาหกรรมได้รับผลกระทบอย่างหนักจากความต้องการของผู้บริโภคในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นและผลักดันให้ธุรกิจต่างๆ ต้องรีบคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ องค์กรด้านอาหารและเครื่องดื่มจะต้องพึ่งพาโซลูชันบนระบบคลาวด์มากขึ้นเพื่อการก้าวไปสู่อีกระดับในปี 2023 และจะต้องขยายธุรกิจให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค พร้อมๆ กับรับมือกับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของซัพพลายเชนและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
แนวโน้มและการคาดการณ์ที่องค์กรด้านอาหารและเครื่องดื่มควรพิจารณาในปี 2023 ได้แก่
- ความคล่องตัวของซัพพลายเชนและต้นทุน: การเปลี่ยนแปลงกลายเป็นเรื่องปกติ อนาคตที่คาดเดาไม่ได้เป็นเพียงความแน่นอนเดียวที่เราทราบเกี่ยวกับซัพพลายเชนทั่วโลก ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และปัจจัยภายนอกอื่นๆ เช่น ความตึงเครียดทางการเมืองและปัญหาชิปขาดแคลนทั่วโลก ทำให้ซัพพลายเชนด้านอาหารและเครื่องดื่มต้องมีความคล่องตัวในการวางแผนเพื่อระบุปัญหาให้เร็วขึ้นและตอบสนองต่อความต้องการ ผู้ผลิตอาหารต้องมีความคล่องตัวและวางแผนรับมือกับสิ่งที่ไม่คาดคิดเนื่องจากอุปสงค์และอุปทานมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้งรวมถึงต้องเฝ้าระวังผลกระทบต่อการผลิตอย่างใกล้ชิด ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มจะลงทุนกับวัตถุดิบและซัพพลายเออร์อย่างหลากหลายมากขึ้นในปี 2023 เพื่อชดเชยกับการหยุดชะงักของอุปทาน องค์กรต่างๆ จะต้องตอบสนองต่อความต้องการให้ตรงจุดที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่นและปรับประสิทธิภาพการผลิตให้เหมาะสม
- การผลิตแบบอัตโนมัติ: ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการขาดแคลนแรงงานทั่วโลกได้กลายเป็นปัญหาที่ตามมาหลังการระบาดใหญ่ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลผลิตของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม คนทำงานรุ่นใหม่ไม่ได้ต้องการมองหางานระยะยาวตลอดชีวิต แต่สนใจอาชีพที่สอดคล้องกับค่านิยมของตน เนื่องจากแรงกดดันในการรักษาอุปทานให้สมดุลกับอุปสงค์ที่เพิ่มสูงขึ้น องค์กรด้านอาหารและเครื่องดื่มจึงจำเป็นต้องลงทุนในเทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0 เพื่อชดเชยกับการขาดแคลนพนักงาน ตัวอย่างได้แก่ การใช้การจดจำภาพด้วยแมชชีนเลิร์นนิ่ง (ML) เพื่อให้หุ่นยนต์สามารถทำงานที่ต้องใช้แรงงานมากโดยอัตโนมัติ ซึ่งก่อนหน้านี้ต้องใช้สายตาและการตัดสินใจของมนุษย์ เช่น ในการคัดแยก การคัดเกรด การตัดหั่น และการแล่ องค์กรด้านอาหารและเครื่องดื่มที่เปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆเหล่านี้ได้เร็วขึ้นนี้มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นผู้นำในอนาคต
- การใช้ปัญญาประดิษฐ์และ ML เพิ่มมากขึ้น: จะมีการนำโซลูชันปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีน เลิร์นนิ่ง (ML) มาใช้อย่างมากขึ้นสำหรับธุรกิจที่อยู่ในระบบคลาวด์ ตัวอย่างเช่น บริษัทผลิตนมแห่งหนึ่งใช้โมเดลแมชชีนเลิร์นนิ่งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลผลิตและลดของเสียในการผลิตชีส ในอดีต บริษัททำได้เพียงวิเคราะห์ผลผลิตและปัจจัยที่เกี่ยวข้องย้อนหลังเพียงไม่กี่อย่าง เช่น โปรตีน ไขมันเนย และอุณหภูมิ ซึ่งสายเกินไปที่จะปรับปรุงผลผลิต ในปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์นมสามารถปรับกระบวนการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง โดยพิจารณาจากปัจจัยที่เกี่ยวข้องมากขึ้น อัตราผลผลิตที่เพิ่มขึ้น 1 เปอร์เซ็นต์เทียบเท่ากับการประหยัดต้นทุน 500,000 ดอลลาร์ ซึ่งเราจะเห็นกรณีการใช้งานที่ประหยัดต้นทุนได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้นในปีหน้า
- การเร่งผลิตนวัตกรรมอาหาร: การเปลี่ยนส่วนผสม การหาทรัพยากรจากซัพพลายเออร์รายอื่น และการลดขนาดบรรจุภัณฑ์เนื่องจากการขาดแคลนและการขึ้นราคาจะกลายเป็นเทรนด์ยอดนิยม นอกจากนี้ นวัตกรรมอาหารที่แท้จริงกำลังกลายเป็นวิถีชีวิตแบบใหม่ สตาร์ทอัพจำนวนมากที่ทำธุรกิจโปรตีนทางเลือก เนื้อสัตว์ในห้องปฏิบัติการ หรือผลิตภัณฑ์จากนมสังเคราะห์จะขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการเปิดรับของผู้บริโภคและความมุ่งมั่นของบริษัทอาหารขนาดใหญ่ที่จะลงทุนในนวัตกรรมเหล่านี้ นอกจากนี้ยังมีการสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ในเวลาที่รวดเร็วขึ้นเพื่อตอบรับคำขอของผู้บริโภค การใช้บรรจุภัณฑ์ในขนาดต่างๆ การเปลี่ยนส่วนผสม หรือการหาทรัพยากรจากซัพพลายเออร์รายอื่น
- ความโปร่งใสต่อผู้บริโภค: ผู้บริโภคทุกวันนี้ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ เช่น แหล่งที่มา ข้อมูลว่าเกษตรกรและสัตว์ได้รับการดูแลอย่างดีหรือไม่ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และประโยชน์ใช้สอย เป็นต้น แม้จะมีการสอบถามจากผู้บริโภค แต่ก็ยังเป็นโอกาสที่ผู้แปรรูปอาหารและเครื่องดื่มที่จะบอกเล่าเรื่องราวขององค์กรผ่านบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะเพื่อแสดงความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับได้หรือความสดใหม่ เป็นต้น และยังเป็นโอกาสให้องค์กรได้เชื่อมต่อและโต้ตอบกับผู้บริโภคทางดิจิทัลอีกด้วย มีข้อมูลมากมายที่คุณสามารถรวบรวมและวิเคราะห์ แล้วนำไปใช้ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ให้ดีขึ้น และ/หรือเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ได้
- ความยั่งยืนและความโปร่งใส: เมื่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศกลายเป็นภัยคุกคามที่ใกล้ตัวมากขึ้น แน่นอนว่าอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มย่อมได้รับผลกระทบ องค์กรต่างๆ จะต้องพิจารณาทางเลือกในการจัดหาผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น และหันมาใช้แมชชีนเลิร์นนิ่งเพื่อลดพลังงาน น้ำ และอาหาร ภายในภาคการผลิต ธุรกิจส่วนใหญ่จะลดของเสียลง (เช่น น้ำ พลังงาน อาหาร) รวมถึงขยายซัพพลายเชนก่อนการผลิตและหลังการผลิต เช่น การทำไร่สวน การรับรอง การขนส่ง เป็นต้น การประเมินซัพพลายเออร์โดยพิจารณาจากรอยเท้าคาร์บอน (Carbon Footprint) โดยรวม เช่น ภายในการผลิตและในการขนส่งนั้นเป็นสิ่งสำคัญ การจัดหาวัตถุดิบในท้องถิ่นไม่เพียงแต่จะช่วยสนับสนุนชุมชนเท่านั้น แต่ยังเป็นการลดรอยเท้าคาร์บอนโดยรวมอีกด้วย ธุรกิจสามารถใช้บรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืนมากขึ้นได้ด้วยการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นและใช้ซ้ำได้ หรือแม้แต่การใช้วัสดุที่ปรับเปลี่ยนได้ก็สามารถลดของเสียและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ ความโปร่งใสของซัพพลายเชนจะยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เนื่องจากแรงกดดันจากภาครัฐและสาธารณะที่ผลักดันให้องค์กรต่างๆ ต้องเปิดเผยความคืบหน้าเกี่ยวกับความยั่งยืนและความโปร่งใส
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่เรานำเสนอนวัตกรรมซอฟต์แวร์บนระบบคลาวด์ให้กับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม
บันทึกภายใต้หมวดหมู่
อุตสาหกรรม
ติดต่อเรา
ติดต่อเรา แล้วเราจะดำเนินการให้ตัวแทนด้านการพัฒนาธุรกิจติดต่อคุณภายใน 24 ชั่วโมงทำการ